mai รับ`พรีโม เซอร์วิสฯ(PRI)`เข้าเทรด 30พ.ย.นี้ -อวดงบ 9 เดือนโต 128%

MAI อนุมัติ PRI เข้าตลาด

สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย- -29 พ.ย. 65 10:08 น.

   ตลาด mai รับ “บมจ.พรีโม เซอร์วิส โซลูชั่น (PRI)” เข้าเทรด 30 พ.ย.นี้ ด้วยราคา IPO ที่ 15 บาท/หุ้น มูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 4,800 ล้านบาท พร้อมอวดงบ 9 เดือนปี 65 มีกำไร 156.02 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 128%   นายประพันธ์ เจริญประวัติ ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เปิดเผยว่า ตลาดหลักทรัพย์ mai ยินดีต้อนรับ บมจ. พรีโม เซอร์วิส โซลูชั่น เข้าจดทะเบียนและเริ่มซื้อขายใน mai ภายใต้กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง โดยใช้ชื่อย่อในการซื้อขายหลักทรัพย์ว่า “PRI” ในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2565  PRI ประกอบธุรกิจโดยการถือหุ้นในบริษัทอื่น (Holding Company) ของบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI โดยถือเป็นแกนหลัก (Flagship Company) ในกลุ่ม ORI ที่ประกอบธุรกิจให้บริการเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร (One Stop Service) ปัจจุบันถือหุ้นในบริษัทย่อย 8 บริษัท ประกอบด้วย 3 กลุ่มธุรกิจ ได้แก่  (1) ธุรกิจที่ปรึกษาและออกแบบทางวิศวกรรม ที่ให้บริการที่ปรึกษาและควบคุมงานก่อสร้าง และการออกแบบสถาปัตยกรรม  (2) ธุรกิจบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์ ที่ให้บริการบริหารจัดการนิติบุคคลอาคารชุดและหมู่บ้านจัดสรร ศูนย์สรรพสินค้า อาคารสำนักงาน บริการเป็นนายหน้าตัวแทน บริการจัดหาผู้ร่วมทุน และการเป็นที่ปรึกษาฯ  (3) ธุรกิจบริการหลังการขายอสังหาริมทรัพย์ ที่ให้บริการออกแบบและตกแต่งภายใน บริการทำความสะอาดและงานช่าง เป็นต้น ในงวด 9 เดือนแรกปี 2565 PRI มีสัดส่วนรายได้ของ 3 กลุ่มธุรกิจคิดเป็นร้อยละ 13 : 46 : 41 ตามลำดับ โดยมีรายได้จากการให้บริการกลุ่ม ORI ประมาณร้อยละ 42 ของรายได้จากการให้บริการ

  PRI มีทุนชำระแล้วหลัง IPO 160 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท ประกอบด้วยหุ้นสามัญเดิม 240 ล้านหุ้นและหุ้นสามัญเพิ่มทุน 80 ล้านหุ้น แบ่งเป็นเสนอขายต่อบุคคลตามดุลยพินิจของผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์ 64 ล้านหุ้น และเสนอขายต่อนักลงทุนสถาบัน 16 ล้านหุ้น เมื่อวันที่ 22 – 24 พฤศจิกายน 2565 ในราคาหุ้นละ 15 บาท คิดเป็นมูลค่าระดมทุน 1,200 ล้านบาท มูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 4,800 ล้านบาท  ทั้งนี้ การกำหนดราคาเสนอขายหุ้น IPO คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E ratio) ที่ 24.19 เท่า คำนวณกำไรสุทธิต่อหุ้นจากผลกำไรสุทธิในช่วง 4 ไตรมาสล่าสุด (ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2564 – 30 กันยายน 2565) ซึ่งเท่ากับ 198.89 ล้านบาท หารด้วยจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้นครั้งนี้ (fully diluted) คิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้น 0.62 บาท โดยมีบริษัท ที่ปรึกษา เอเซีย พลัส จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และบริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่ายหุ้นสามัญ

  นางสาวจตุพร วิไลแก้ว ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. พรีโม เซอร์วิส โซลูชั่น (PRI) เปิดเผยว่า บริษัทเป็นหนึ่งในผู้นำธุรกิจบริการด้านอสังหาริมทรัพย์สมัยใหม่แบบครบวงจร โดยกลุ่มผู้บริหารและทีมงานมีความเข้าใจความต้องการของลูกค้า สามารถออกแบบบริการให้ตอบสนองความต้องการของลูกค้าทั้งกลุ่มผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และกลุ่มลูกค้าที่อยู่อาศัยในโครงการฯ สำหรับเงินที่ได้จากการระดมทุนครั้งนี้จะนำไปใช้ลงทุนในการขยายกิจการที่เกี่ยวข้อง ลงทุนสำหรับการพัฒนาเทคโนโลยีในการให้บริการลูกค้า รวมถึงใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินกิจการ  PRI มีผู้ถือหุ้นใหญ่หลัง IPO คือ บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) (ORI) ถือหุ้น 75% โดยบริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราไม่น้อยกว่า 40% ของกำไรสุทธิของงบการเงินเฉพาะกิจการของบริษัทฯ ในแต่ละปี ภายหลังจากหักภาษีและเงินทุนสำรองตามกฎหมายและทุนสำรองอื่น

  สำหรับผลประกอบการ ในงวดเก้าเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2565 บริษัทมีกำไร 156.02 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 128% จากงวดเดียวกันปี 64 ที่มีกำไร 68.38 ล้านบาท โดย 9 เดือนมีรายได้จากการให้บริการและการขายรวม 604.26 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปี 2564 คิดเป็น 295.84 ล้านบาท หรือคิดเป็นการเพิ่มขึ้น 95.92% โดยเป็นการเพิ่มขึ้นจากทั้ง 3 กลุ่มธุรกิจ  โดยกลุ่มธุรกิจที่ปรึกษาและออกแบบทางวิศวกรรม มีรายได้เพิ่มขึ้น จากการเป็นผู้ให้บริการเป็นที่ปรึกษาในการบริหารและควมคุมงานก่อสร้างเพิ่มมากขึ้นจากจานวนโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่บริษัทเป็นผู้ให้บริการมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น รวมถึงการให้บริการออกแบบสถาปัตกรรม งานวิศวกรรมโครงสร้าง และวิศวกรรมระบบประกอบอาคารเมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนหน้าซึ่งยังไม่มีรายได้จากการให้บริการดังกล่าว และบริษัทยังมีรายได้จากการให้บริการศูนย์ฝึกอบรม UPM Academy ที่เพิ่มมากขึ้นจากการเพิ่มจำนวนและความหลากหลายของคอร์สฝึกอบรม

  ด้านรายได้กลุ่มธุรกิจบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์ เพิ่มขึ้นเนื่องจากบริษัทมีรายได้จากการให้บริการบริหารนิติบุคคลอาคารชุดและหมู่บ้านจัดสรร รวมถึง Residential Property เพิ่มขึ้น รวมถึงรายได้จากการให้บริการนายหน้าอสังหาริมทรัพย์และบริการจัดหาผู้ร่วมทุน (JV) เพิ่มมากขึ้น เนื่องจากสภาวะธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่เริ่มฟื้นตัว ส่วนกลุ่มธุรกิจบริการหลังการขายอสังหาริมทรัพย์ มีรายได้เพิ่มขึ้น ตามการให้บริการออกแบบและตกแต่งที่เพิ่มมากขึ้นจากการให้บริการตกแต่งพื้นที่ส่วนกลางโครงการอสังหาริมทรัพย์ และตกแต่งภายในพื้นที่พักอาศัย รวมถึงรายได้จากการให้บริการทำความสะอาดที่เพิ่มมากขึ้น